เมนู

พรรณนาวงศ์พระนารทพุทธเจ้าที่ 9



เมื่อพระปทุมพุทธเจ้า ปรินิพพานแล้ว ศาสนาของพระองค์ก็อันตร-
ธานไปแล้ว มนุษย์ทั้งหลายมีอายุแสนปี ลดลงโดยลำดับ จนมีอายุสิบปี
แล้วก็เพิ่มขึ้นอีก เป็นอายุอสงไขยหนึ่ง แล้วก็ลดลงเหลือเก้าหมื่นปี. ครั้งนั้น
พระศาสดายอดนรสัตว์พระนามว่า นารทะ ผู้ทรงกำลัง 10 มีวิชชา 3 ผู้แกล้ว
กล้าด้วยเวสารัชชญาณ 4 ผู้ประทานวิมุตติสาร อุบัติขึ้นในโลก. พระองค์ทรง
บำเพ็ญบารมีมา สี่อสงไขยแสนกัป ทรงบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต จุติจากนั้น
แล้ว ก็ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางอโนมาเทวี ผู้มีพระโฉมไม่มีที่
เปรียบพระอัครมเหสีในราชสกุล พระเจ้าสุเทวะ วาสุเทพแห่งวีริยรัฐของ
พระองค์ กรุงธัญญวดี ครบทศมาส พระองค์ก็ประสูติจากพระครรภ์พระชนนี
ณ ธนัญชัยราชอุทยาน. ในวันเฉลิมพระนาม เมื่อกำลังเฉลิมพระนาม เครื่อง
อาภรณ์ทั้งหลายที่สมควรเหมาะแก่การใช้สำหรับมนุษย์ทั้งหลายทั่วชมพูทวีป ก็
หล่นจากต้นกัลปพฤกษ์เป็นต้นทางอากาศ ด้วยเหตุนั้น เขาจึงถวายเครื่อง
อาภรณ์ทั้งหลายที่สมควรสำหรับนรชนทั้งหลายแต่พระองค์ เพราะฉะนั้นพวก
โหรและพระประยูรญาติทั้งหลายจึงเฉลิมพระนามว่า นารทะ.
พระองค์ครองฆราวาสวิสัยอยู่เก้าพันปี. มีปราสาท 3 หลังเหมาะฤดู
ทั้ง 3 ชื่อว่า วิชิตาวี วิชิตาวี และวิชิตาภิรามะ พระชนกชนนีได้ทรงทำขัตติย-
กัญญาผู้มีบุญอย่างยิ่งพระนามว่า วิชิตเสนา ผู้ถึงพร้อมด้วยสกุลศีลาจารวัตร
และรูปสมบัติให้เป็นอัครมเหสีแก่นารทกุมารนั้น. พระสนมนารี จำนวนแสน
สองหมื่นนาง มีพระนางวิชิตเสนานั้นเป็นประธาน เมื่อพระนันทุตตรกุมาร

ผู้นำความบันเทิงใจแก่โลกทั้งปวง ของพระนางวิชิตเสนาเทวีนั้น ประสูติ
แล้ว พระนารทะกุมารนั้น ก็ทรงเห็นนิมิต 4 อันจตุรงคเสนาทัพใหญ่
แวดล้อมแล้วทรงเครื่องนุ่งห่มอันเบาดี สีต่างๆ สวมกุณฑลมณีมุกดาหาร ทรง
พาหุรัดพระมงกุฎและทองพระกรอย่างดี ทรงประดับด้วยดอกไม้กลิ่นหอมอย่าง
ยิ่ง ดำเนินด้วยพระบาทสู่พระราชอุทยาน ทรงเปลื้องเครื่องประดับทั้งหมด
มอบไว้ในมือพนักงานรักษาคลังหลวง ทรงตัดพระเกศาและมงกุฎของพระองค์
ที่ประดับด้วยรัตนะอันงามอย่างยิ่ง ด้วยพระขรรค์อันคมกริบ เฉกเช่นกลีบ
บัวขาบอันไม่มีมลทินด้วยพระองค์เอง แล้วทรงเหวี่ยงไปที่ท้องนภากาศ. ท้าว
สักกเทวราช ทรงรับด้วยผอบทอง นำไปภพดาวดึงส์ ทรงสร้างพระเจดีย์
สำเร็จด้วยรัตนะ 7 เหนือยอดขุนเขาสิเนรุ สูง 3 โยชน์.
ฝ่ายพระมหาบุรุษ ทรงครองผ้ากาสายะที่เทวดาถวาย ทรงผนวช ณ
อุทยานนั้นนั่นเอง บุรุษแสนคนก็บวชตามเสด็จ พระมหาบุรุษทรงทำความ
เพียรอยู่ในที่นั้น 7 วัน วันวิสาขบูรณมี เสวยข้าวมธุปายาสที่พระนางวิชิตเสนา
อัครมเหสีถวาย ทรงพักกลางวัน ณ พระราชอุทยานทรงรับหญ้า 8 กำที่พนัก-
งานเฝ้าพระสุทัสสนราชอุทยาน ถวาย ทรงทำประทักษิณ ต้นมหาโสณะ
โพธิพฤกษ์
ทรงลาดสันถัตหญ้ากว้าง 58 ศอก ประทับนั่ง ทรงกำจัดกอง
กำลังมาร ทรงยังวิชชา 3 ให้เกิดในยามทั้ง 3 แทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณ
ทรงเปล่งพระอุทานว่า อเนกชาติสํสารํ ฯเปฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา แล้ว
ทรงยับยั้งอยู่ 7 สัปดาห์ อันท้าวมหาพรหมอาราธนาแล้ว ประทานคำรับรอง
แล้วอันภิกษุแสนรูปที่บวชกับพระองค์ ณ ธนัญชัยราชอุทยานแวดล้อมแล้ว
ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ ที่นั้น ครั้งนั้นธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์แสนโกฏิ.
ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า

ต่อจากสมัยของพระปทุมพุทธเจ้า พระสัมพุทธ-
เจ้าพระนามว่า นารทะ ผู้เป็นยอดแห่งสัตว์สองเท้า
ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีผู้เปรียบ.
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงเป็นเชษฐโอรส
น่าเอ็นดูของพระเจ้าจักรพรรดิ ทรงสวมอาภรณ์แก้ว
มณีเสด็จเข้าพระราชอุทยาน.
ณ พระราชอุทยานนั้น มีต้นไม้งามกว้างใหญ่
สะอาดสะอ้าน เสด็จถึงต้นไม้นั้นแล้วประทับนั่งภาย
ใต้ต้นมหาโสณะ.
ณ ต้นไม้นั้น ก็เกิดญาณอันประเสริฐไม่มีที่สุด
คมเปรียบด้วยวชิระ ก็ทรงพิจารณาความเกิดความดับ
ของสังขารทั้งหลาย.
ทรงขจัดกิเลสทุกอย่างไม่เหลือเลย ณ ต้นไม้นั้น
ทรงบรรลุพระโพธิญาณ และพระพุทธญาณ 14 สิ้น
เชิง.
ครั้นทรงบรรลุพระโพธิญาณแล้ว ก็ทรงประ-
กาศพระธรรมจักร อภิสมัยครั้งที่ 1 ได้มีแก่สัตว์แสน
โกฎิ.


แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จกฺกวตฺติสฺส ได้แก่ พระเจ้าจักรพรรดิ
บทว่า เชฏฺโฐ ได้แก่ เกิดก่อน. บทว่า ทยิตโอรโส ได้แก่ พระโอรส พระราช
บุตร ที่น่าเอ็นดูน่ารัก. บุตรที่เขาเอ็นดูแล้ว อันเขากอดประทับไว้ที่อก ชื่อว่า

ทยิตโอรส. บทว่า อามุกฺกมาลาภรโณ1 ได้แก่ สวมพาหุรัดทองกรมงกุฏ
และกุณฑลมุกดาหารเป็นมาลัย. บทว่า อุยฺยานํ ความว่า ได้ไปยังอารามชื่อ
ธนัญชัยราชอุทยาน นอกพระนคร.
บทว่า ตตฺถาสิ รุกฺโข ความว่า เขาว่าในราชอุทยานนั้น มีต้นไม้
ต้นหนึ่ง ชื่อว่า รัตตโสณะ. เขาว่าต้นรัตตโสณะนั้น สูง 90 ศอก ลำต้น
เกลากลม มีค่าคบและกิ่งก้านสะพรั่ง มีใบเขียวหนาและกว้าง มีเงาทึบเพราะ
มีเทวดาสิงสถิต จึงปราศจากหมู่นกนานาชนิดสัญจร เป็นดิลกจุดเด่นของพื้น
ธรณี กระทำประหนึ่งราชาแห่งต้นไม้ ดูน่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง ทุกกิ่งประดับด้วย
ดอกสีแดง เป็นจุดรวมแห่งดวงตาของเทวดาและมนุษย์. บทว่า ยสวิปุโล
ได้แก่ มียศไพบูลย์ อธิบายว่า อันโลกทั้งปวงกล่าวถึง ปรากฏเลื่องลือไปในที่
ทั้งปวงเพราะสมบัติของต้นไม้เอง. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ตตฺถาสิ รุกฺโข
วิปุโล
ดังนี้ก็มี. บทว่า พฺรหา แปลว่า ใหญ่ อธิบายว่า เช่นเดียวกับต้นปาริ-
ฉัตตกะของทวยเทพ. บทว่า ตมชฺฌปฺปตฺวา ความว่า ถึง ถึงทับ คือเข้าไปยัง
ต้นโสณะนั้น. บทว่า เหฏฺฐโต ได้แก่ ภายใต้ต้นไม้นั้น.
บทว่า ญาณวรุปฺปชฺชิ ได้แก่ ญาณอันประเสริฐเกิดขึ้น. บทว่า อนนฺตํ
ได้แก่ นับไม่ได้ ประมาณไม่ได้. บทว่า วชิรูปมํ ได้แก่ คมเช่นวชิระ คำนี้
เป็นชื่อของวิปัสสนาญาณ มีอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น. บทว่า เตน วิจินิ
สงฺขาเร ได้แก่ พิจารณาสังขารทั้งหลายมีรูปเป็นต้น ด้วยวิปัสสนาญาณนั้น.
บทว่า อุกฺกุชฺชมวกุชฺชกํ ความว่า พิจารณาความเกิดและความเสื่อมของสังขาร
ทั้งหลาย. อธิบายว่า เพราะฉะนั้น พระองค์พิจารณาปัจจยาการออกจาก
จตุตถฌาน มีอานาปานสติเป็นอารมณ์ หยั่งลงในขันธ์ 5 ก็เห็นลักษณะ 50
ถ้วน ด้วยอุทยัพพยญาณ เจริญวิปัสสนาจนถึงโคตรภูญาณ ก็ได้พระพุทธคุณ
ทั้งสิ้นโดยลำดับแห่งพระอริยมรรค

1. บาลีเป็น อามุตฺตมณฺยาภรโณ.

บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ณ ต้นโสณะ. บทว่า สพฺพกิเลสานิ
ได้แก่ สพฺเพปิ กิเลเส กิเลสแม้ทั้งหมด ท่านกล่าวเป็นลิงควิปลาส. อาจารย์
บางพวกกล่าวว่า ตตฺถ สพฺพกิเลเสหิ. บทว่า อเสสํ แปลว่า ไม่เหลือเลย
บทว่า อภิวาหยิ ได้แก่ ขจัดกิเลสทั้งหมด โดยเขตมรรคและเขตกิเลส อธิบาย
ว่านำเข้าไปสู่ความสูญหาย. บทว่า โพธิ ได้แก่ อรหัตมรรคญาณ. บทว่า
พุทฺธญาเณ จ จุทฺทส ได้แก่ พุทฺธญาณานิ จุทฺทส พุทธญาณ 14 อย่าง.
14 อย่าง คืออะไร. คือญาณเหล่านี้อย่างนี้คือ มรรคญาณผลญาณ 8 อสาธารณ-
ญาณ 6 ชื่อว่าพุทธญาณของพระพุทธเจ้า. จ ศัพท์เป็นสัมปิณฑนัตถะ ด้วย จ
ศัพท์นั้นความว่า แม้ประการอื่นทรงบรรลุปฏิสัมภิทาญาณ 4 เวสารัชชญาณ
4 ญาณกำหนดกำเนิด 4 ญาณกำหนดคติ 5 ทศพลญาณ ย่อมรวมลงใน
พระพุทธคุณทั้งสิ้น.
พระมหาบุรุษนารทะ ทรงบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าอย่างนี้ ทรง
รับอาราธนาของท้าวมหาพรหม ทรงทำภิกษุแสนโกฏิ ซึ่งบวชกับพระองค์ ณ
ธนัญชัยราชอุทยาน ไว้เฉพาะพระพักตร์แล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร.
ครั้งนั้นอภิสมัยครั้งที่ 1 ได้มีแก่ภิกษุแสนโกฏิ. ได้ยินว่า ครั้งนั้นพระยานาค ชื่อ
โทณะ มีฤทธานุภาพมาก มหาชนสักการะเคารพนับถือบูชา อาศัยอยู่ริมฝั่ง
แม่น้ำคงคา ใกล้ มหาโทณนคร พวกมนุษย์ชาวชนบทในถิ่นใดไม่ทำการบวง
สรวงพระยานาคนั้น พระยานาคนั้นก็จะทำถิ่นนั้นของมนุษย์พวกนั้นให้พินาศ
โดยทำไม่ให้ฝนตกบ้าง ให้ฝนตกมากเกินไปบ้าง ทำฝนก้อนกรวดให้ตกลงบ้าง.
ลำดับนั้น พระนารทศาสดาผู้ทรงเห็นฝั่ง ทรงเห็นอุปนิสัยของสัตว์
เป็นอันมาก ในการแนะนำพระยานาคโทณะอันภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่แวดล้อมแล้ว
จึงเสด็จไปยังสถานที่อยู่ของพระยานาคนั้น. แต่นั้นมนุษย์ทั้งหลายเห็นพระ-
ศาสดาแล้วกราบทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระยานาคมีพิษร้าย

มีเดชสูง มีฤทธานุภาพมาก อาศัยอยู่ในที่นั้น มันจักเบียดเบียนพระองค์ ไม่
ควรเสด็จไปพระเจ้าข้า. แต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทำประหนึ่งไม่ฟังคำของมนุษย์
เหล่านั้นเสด็จไป. ครั้นเสด็จไปแล้ว ก็ประทับนั่งบนเครื่องลาดดอกไม้ที่มีกลิ่น
หอมอย่างยิ่ง ซึ่งพวกมนุษย์เซ่นสรวงพระยานาคนั้นในที่นั้น. เขาว่า มหาชน
ประชุมกัน ด้วยหมายว่าจะเห็นการยุทธของสองฝ่าย คือพระนารทจอมมุนี
และพระยานาคโทณะ.
ครั้งนั้น พระยานาคเห็นพระนาคมุนีนั่งอย่างนั้น ทนการลบหลู่ไม่ได้
ก็ปรากฏตัวบังหวนควัน. แม้พระทศพลก็ทรงบังหวนควัน พระยานาคบันดาล
ไฟอีก. แม้พระมุนีเจ้าก็ทรงบันดาลไฟบ้าง. พระยานาคนั้นมีเนื้อตัวลำบากอย่าง
เหลือเกิน เพราะเปลวควันที่พลุ่งออกจากพระสรีระของพระทศพล ทนทุกข์ไม่ได้
ก็ปล่อยพิษออกไป หมายจะฆ่าพระองค์ด้วยความเร็วแห่งพิษ ทั่วทั้งชมพูทวีปพึง
พินาศด้วยความเร็วแห่งพิษ. แต่พิษนั้น ไม่สามารถจะทำพระโลมาแม้เส้นเดียว
ในพระสรีระของพระทศพลให้สั่นสะเทือนได้. ทีนั้น พระยานาคนั้นก็ตรวจดูว่า
พระสมณะมีความเป็นไปอย่างไรหนอ ก็เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระพักตร์
งามผ่องใส รุ่งเรืองด้วยพระพุทธรัศมี 6 พรรณะ เต็มที่ดุจพระอาทิตย์และ
พระจันทร์ ในฤดูสารท ก็คิดว่า โอ ! พระสมณะนี้มีฤทธิ์มาก เราไม่รู้กำลัง
ของตัวเองผิดพลาดไปเสียแล้ว แสวงหาที่ช่วยตัวเอง ก็ถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า
นั่นแหละเป็นสรณะ. ลำดับนั้น พระนารทมุนีเจ้าฝึกพระยานาคนั้นแล้ว ก็ทรง
ทำยมกปาฏิหาริย์ เพื่อยังจิตของมหาชนที่ประชุมกันในที่นั้นให้เลื่อมใส. ครั้ง
นั้น สัตว์เก้าหมื่นโกฏิก็ตั้งอยู่ในพระอรหัต. นั้นเป็นอภิสมัยครั้งที่ 2 ด้วยเหตุ
นั้น จึงตรัสว่า

พระมหามุนีทรงฝึกพระยานาคมหาโทณะ เมื่อ
จะทรงแสดงแก่โลกพร้อมทั้งเทวโลก ก็ได้ทรงทำ
ปาฏิหารย์ในครั้งนั้น.
ครั้งนั้น เทวดาและมนุษย์เก้าหมื่นโกฏิก็ข้ามพ้น
ความสงสัยทั้งปวง ในการประกาศธรรม.


แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาฏิเหรํ ตทากาสิ ความว่า ได้ทรงทำ
ยมกปาฏิหาริย์. หรือปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน. ปาฐะว่า ตทา เทวมนุสฺสา
วา
ดังนี้ก็มี. ในปาฐะนั้น ปฐมาวิภัตติ ลงในอรรถฉัฏฐีวิภัตติว่า เทว-
มนุสฺสานํ
เพราะฉะนั้นจึงมีความว่า เทวดาและมนุษย์เก้าหมื่นโกฏิ. บทว่า
ตรึสุ ได้แก่ ก้าวล่วงพ้น.
ครั้งเมื่อ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงโอวาทพระนันทุตตรกุมารพระโอรส
ของพระองค์ อภิสมัยครั้งที่ 3 ได้มีแก่สัตว์แปดหมื่นโกฏิ. ด้วยเหตุนั้น จึง
ตรัสว่า
ครั้งที่พระมหาวีระ ทรงโอวาทพระโอรสของ
พระองค์ อภิสมัยครั้งที่ 3 ได้มีแก่สัตว์แปดหมื่นโกฏิ.

ก็ครั้งที่พราหมณ์สหาย 2 คน ชื่อ ภัททสาละและวิชิตมิตตะ กำลัง
แสวงหาห้วงน้ำคือ อมฤตธรรม ก็ได้เห็นพระนารทสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้แกล้ว
กล้ายิ่ง ประทับนั่งในบริษัท. เขาเห็นมหาปุริสลักษณะ 32 ประการในพระกาย
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ตกลงใจว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีกิเลสดุจหลัง-
คาอันเปิดแล้วในโลก เกิดศรัทธาในพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยบริวารก็
บวชในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า. เมื่อสองสหายนั้นบวชแล้วบรรลุพระอรหัต